หลังจากที่เราได้ไปเที่ยววัดมาหลายๆ ที่ ทั้งในตัวอำเภอเมืองและในอำเภออื่นๆ แล้ว เราก็ได้รู้ว่าวัดในบ้านเรามีเยอะมากกกกกก มีการสร้างวัดไว้ในหลายสถานที่ แต่ที่สำคัญกว่าการสร้างคือการที่เราจะทำยังไงให้สิ่งที่เราสร้างไว้นั้นมีอายุยืนยาว อยู่ต่อเนื่องได้นานที่สุด
เหมือนกับวัดที่เราจะไปในวันนี้ ตอนแรกเราจะเดินทางเพื่อไปสถานปฏิบัติธรรมถ้ำผางาม แต่บังเอิญว่าเราได้แวะไปที่วัดถ้ำผางามซะก่อน วัดนี้อยู่ในตำบลผางาม อำเภอเวียงชัย ที่อำเภอนี้จริงๆ แล้วมีผาที่งดงามหลายลูกมาก แต่มันเป็นอดีตไปแล้ว เพราะปัจจุบันจะเหลืออยู่ไม่กี่ผา ผาที่หายไปก็ถูกระเบิดเพื่อเอาไปถมที่ทางนั่นเอง
วัดถ้ำผางามตั้งอยู่หลังองค์การบริหารส่วนตำบลผางาม พอดีเด๊ะๆ มีพระอยู่รูปเดียวที่จำวัดนี้ เสียดายที่ไม่ได้ติดกล้องถ่ายรูปมาด้วย ไม่งั้นจะได้นำภาพมาให้ท่านๆ เห็น นอกจากภายในถ้ำแล้วก็ยังมีพระธาตุให้เราเดินขึ้นบันไดไปสักการะอีกด้วย
หลังจากที่สักการะที่วัดนี้เสร็จแล้วเราก็ได้ไปต่อที่สถานปฏิบัติธรรมถ้ำผางาม ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก เพียงแต่สถานปฏิบัติธรรมต้องขับรถแยกเข้าไปอีกไม่ไกลมากนัก พอเข้าไปก็พบกับสถานที่ที่เงียบสงบมาก เหมาะจะเป็นสถานที่ที่เรามาเพื่อหาความสงบจริงๆ หากใครสนใจอยากหาสถานที่สำหรับปฏิบัติธรรมที่เงียบ สงบ ผู้เขียนคิดว่าที่นี่ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่เหมาะกับการปฏิบัติ
วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
พระธาตุดอยตุง
วันนี้เป็นวันฝนพรำ แต่พวกเราก็ไม่ได้ยกเลิกการไปเที่ยวแต่อย่างใด เนื่องในโอกาสที่เพื่อนของเราเดินทางมาไกลจากกรุงเทพฯ เพื่อกลับมาเยี่ยมบ้านที่จังหวัดเชียงราย พวกเราก็เลยจัดทัวร์กันขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่ห่างหายกันไปเป็นระยะเวลานานพอสมควร ครั้งนี้เราได้นัดกันเพื่อไปเที่ยวที่พระธาตุดอยตุง ซึ่งเป็นสถานที่ที่คนในจังหวัดเชียงรายไม่มีใครไม่รู้จัก แต่หากท่านใดที่ยังไม่รู้จักก็ออกเดินทางจากห้าแยกพ่อขุนเม็งรายมุ่งหน้าไปทางอำเภอแม่สายได้เลย ซึ่งทางขึ้นดอยตุงจะอยู่ระหว่างทางนั้นแหละ หาได้ง่ายมากๆ
พระธาตุดอยตุงจะอยู่เลยจากพระตำหนักดอยตุงไปอีกประมาณ 10 กิโลเมตร ทางขึ้นไปจนถึงบันไดขึ้นพระธาตุเป็นเขาที่ไม่ชันมากนัก วันที่เราเดินทางเรามีพาหนะเป็น Nissan Almera (ไม่ได้ค่าโฆษณานะจ๊ะ) สามารถใช้เกียร์ธรรมดาไปได้ตลอดทาง
ก่อนจะถึงพระธาตุดอยตุงจะมีทางแยกเพื่อไปยังพระตำหนักดอยตุง เราเลยขับรถแวะวนเข้าไปดูความเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเพื่อนๆ ไม่ได้เข้ามานานมาก บางคนไม่ได้มานานถึง 10 ปีกันเลยทีเดียว พอได้เข้าไปก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงไปมากพอสมควร แต่ก็ไม่ได้จอดรถลงชมแต่อย่างใด เพราะเป้าหมายหลักของเราคือพระธาตุดอยตุงที่รออยู่เบื้องหน้า
หลังจากขับรถวนดูรอบๆ พระตำหนักแล้วเราก็มุ่งหน้าไปยังพระธาตุต่อไป ขับไปไม่ไกลมากนักก็จะเห็นวัดพระธาตุดอยตุง บริเวณนี้เรียกเป็นวัดเล็ก แต่จุดหมายของเราจะอยู่ลึกเข้าไปอีกประมาณ 100 เมตร ที่เป็นบริเวณของวัดหลวง พอขับไปก็จะเห็นบันไดสำหรับเดินขึ้น และข้างๆ นั้นจะมีทางถนนสำหรับรถขึ้น เนื่องจากดูแล้วมันชันพอสมควร และจากการประเมิณด้วยสายตาแล้วเราจึงไม่กล้าที่จะเอารถขึ้นไป ใจมันไม่ถึงจริงๆ เลยจอดตรงปลายบันไดแล้วเดินขึ้นไปซึ่งมีบันไดไม่กี่ขั้น (ไม่น่าเกินร้อย) พอขึ้นไปถึงก็ให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ว้าวๆๆๆ บรรยากาศเหมือนมายืนอยู่ในวัดที่ประเทศญี่ปุ่นยังไงยังงั้น เนื่องจากมีฝนตกเป็นช่วงๆ ทำให้มีเมฆอยู่เต็มไปหมด อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึกๆ ให้เต็มปอด เหมือนเป็นการล้างสารพิษออกจากปอดได้เลย
ในบริเวณวัดจะมีพระพุทธรูปปางต่างๆ มีอุโบสถ และมีพระธาตุ สำหรับให้สักการะ เมื่อเข้าไปกราบพระในอุโบสถก็มีโอกาสได้ทำบุญถวายสังฆทานให้กับหลวงพ่อในอุโบสถนั้นด้วย ซึ่งทางวัดเค้าได้จัดชุดสังฆทานไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ไปเที่ยวครั้งนี้นอกจากจะได้บุญแล้ว ยังได้อากาศบริสุทธิ์เข้าปอดไปเต็มๆ
มาที่นี่ก็หลายครั้ง แต่ละครั้งที่มาก็ได้บรรยากาศที่ไม่เหมือนกันเลยสักครั้ง แต่มีอยู่สิ่งนึงที่ได้เหมือนกันทุกๆ ครั้งคือความอิ่มใจ เย็นใจ และความสบายใจ ก็ขอเชิญชวนท่านใดที่ยังไม่ได้ไปเที่ยวก็รีบๆ ไปกันนะจ๊ะ
พระธาตุดอยตุงจะอยู่เลยจากพระตำหนักดอยตุงไปอีกประมาณ 10 กิโลเมตร ทางขึ้นไปจนถึงบันไดขึ้นพระธาตุเป็นเขาที่ไม่ชันมากนัก วันที่เราเดินทางเรามีพาหนะเป็น Nissan Almera (ไม่ได้ค่าโฆษณานะจ๊ะ) สามารถใช้เกียร์ธรรมดาไปได้ตลอดทาง
ก่อนจะถึงพระธาตุดอยตุงจะมีทางแยกเพื่อไปยังพระตำหนักดอยตุง เราเลยขับรถแวะวนเข้าไปดูความเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเพื่อนๆ ไม่ได้เข้ามานานมาก บางคนไม่ได้มานานถึง 10 ปีกันเลยทีเดียว พอได้เข้าไปก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงไปมากพอสมควร แต่ก็ไม่ได้จอดรถลงชมแต่อย่างใด เพราะเป้าหมายหลักของเราคือพระธาตุดอยตุงที่รออยู่เบื้องหน้า
หลังจากขับรถวนดูรอบๆ พระตำหนักแล้วเราก็มุ่งหน้าไปยังพระธาตุต่อไป ขับไปไม่ไกลมากนักก็จะเห็นวัดพระธาตุดอยตุง บริเวณนี้เรียกเป็นวัดเล็ก แต่จุดหมายของเราจะอยู่ลึกเข้าไปอีกประมาณ 100 เมตร ที่เป็นบริเวณของวัดหลวง พอขับไปก็จะเห็นบันไดสำหรับเดินขึ้น และข้างๆ นั้นจะมีทางถนนสำหรับรถขึ้น เนื่องจากดูแล้วมันชันพอสมควร และจากการประเมิณด้วยสายตาแล้วเราจึงไม่กล้าที่จะเอารถขึ้นไป ใจมันไม่ถึงจริงๆ เลยจอดตรงปลายบันไดแล้วเดินขึ้นไปซึ่งมีบันไดไม่กี่ขั้น (ไม่น่าเกินร้อย) พอขึ้นไปถึงก็ให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ว้าวๆๆๆ บรรยากาศเหมือนมายืนอยู่ในวัดที่ประเทศญี่ปุ่นยังไงยังงั้น เนื่องจากมีฝนตกเป็นช่วงๆ ทำให้มีเมฆอยู่เต็มไปหมด อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึกๆ ให้เต็มปอด เหมือนเป็นการล้างสารพิษออกจากปอดได้เลย
ในบริเวณวัดจะมีพระพุทธรูปปางต่างๆ มีอุโบสถ และมีพระธาตุ สำหรับให้สักการะ เมื่อเข้าไปกราบพระในอุโบสถก็มีโอกาสได้ทำบุญถวายสังฆทานให้กับหลวงพ่อในอุโบสถนั้นด้วย ซึ่งทางวัดเค้าได้จัดชุดสังฆทานไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ไปเที่ยวครั้งนี้นอกจากจะได้บุญแล้ว ยังได้อากาศบริสุทธิ์เข้าปอดไปเต็มๆ
มาที่นี่ก็หลายครั้ง แต่ละครั้งที่มาก็ได้บรรยากาศที่ไม่เหมือนกันเลยสักครั้ง แต่มีอยู่สิ่งนึงที่ได้เหมือนกันทุกๆ ครั้งคือความอิ่มใจ เย็นใจ และความสบายใจ ก็ขอเชิญชวนท่านใดที่ยังไม่ได้ไปเที่ยวก็รีบๆ ไปกันนะจ๊ะ
วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
วัดห้วยสัก
วันนี้เราออกเดินทางไกลกันอีกครั้ง ไปถึงตำบลห้วยสัก อำเภอดอยหลวงกันเลยทีเดียว เพราะอยากไปสักการะพระแม่กวนอิมที่พึ่งสร้างเสร็จ ถ้าใครยังจำกันได้กับเมื่อครั้งที่ไปวัดหมื่นพุทธเมตตาคุณาราม วันนี้เราก็ไปตามทางนั้นเลย แต่หากใครยังไม่ได้เข้าไปอ่านก็สามารถย้อนกลับไปอ่านได้ :D แต่พอไปถึงสามแยกที่เลี้ยวซ้ายไปวัดหมื่นฯ แต่คราวนี้เราเลี้ยวขวาไปทางอำเภอดอยหลวง
ขับไปไกลมาาากกกกกกก จนถึงสามแยกที่แยกไปเชียงแสนกับเชียงของ เราก็เลี้ยวไปทางอำเภอเชียงแสน ไปอีกไม่ไกลก็จะพบกับกำแพงวัด ไม่มีป้ายบอกว่าวัดอยู่ไหน แต่จะมีกำแพงอิฐขนาดใหญ่อยู่ขวามือ
วัดนี้มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่มากๆๆ พอเข้าไปเราก็มุ่งหน้าตรงไปหาพระแม่กวนอิมเลย หลังจากสักการะเรียบร้อยแล้วก็เดินชมรอบวัด แล้วก็ลากลับ ก่อนกลับเราก็พึ่งได้ทราบว่ามีทางไปวัดห้วยสักที่ใกล้กว่าทางที่เราไปอีกหลายเส้นทาง
ขับไปไกลมาาากกกกกกก จนถึงสามแยกที่แยกไปเชียงแสนกับเชียงของ เราก็เลี้ยวไปทางอำเภอเชียงแสน ไปอีกไม่ไกลก็จะพบกับกำแพงวัด ไม่มีป้ายบอกว่าวัดอยู่ไหน แต่จะมีกำแพงอิฐขนาดใหญ่อยู่ขวามือ
วัดนี้มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่มากๆๆ พอเข้าไปเราก็มุ่งหน้าตรงไปหาพระแม่กวนอิมเลย หลังจากสักการะเรียบร้อยแล้วก็เดินชมรอบวัด แล้วก็ลากลับ ก่อนกลับเราก็พึ่งได้ทราบว่ามีทางไปวัดห้วยสักที่ใกล้กว่าทางที่เราไปอีกหลายเส้นทาง
วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556
วัดถ้ำพระ (รอบ 2)
หลังจากที่คราวก่อนเราพาเที่ยวที่วัดถ้ำพระมารอบนึงแล้ว (สามารถย้อนกลับไปอ่านได้ในวัดถ้ำพระ) คราวนั้นเราไม่ได้เดินไปเที่ยวด้านหลัง เลยไม่ได้พาชมถ้ำปู่ฤาษีและพระกลางน้ำ มาคราวนี้เรามีโอกาสได้ไปที่ถ้ำพระอีกครั้งหนึ่ง
ไปคราวนี้มันช่างต่างจากคราวก่อนมากเหลือเกิน ไม่มีถังน้ำวางเต็มถ้ำ และไม่มีกลิ่นขี้ค้างคาวเหมือนคราวก่อนเลย ไปคราวนี้ในถ้ำสะอาดมาก หลังจากสักการะในถ้ำแล้วก็ได้โอกาสเดินไปเที่ยวชมด้านหลังถ้ำ ซึ่งจะมีถ้ำปู่ฤาษี และพระกลางน้ำให้สักการะกันด้วย
ไปคราวนี้มันช่างต่างจากคราวก่อนมากเหลือเกิน ไม่มีถังน้ำวางเต็มถ้ำ และไม่มีกลิ่นขี้ค้างคาวเหมือนคราวก่อนเลย ไปคราวนี้ในถ้ำสะอาดมาก หลังจากสักการะในถ้ำแล้วก็ได้โอกาสเดินไปเที่ยวชมด้านหลังถ้ำ ซึ่งจะมีถ้ำปู่ฤาษี และพระกลางน้ำให้สักการะกันด้วย
สถานปฏิบัติธรรมภิรมย์ธรรม
สถานที่ที่เราจะไปในวันนี้ได้รับความอนุเคราะห์จากเว็บ www.chiangraifocus.com อีกแล้ว ชื่อว่าสถานปฏิบัติธรรมภิรมย์ธรรม ก็เลยมีความอยากรู้ว่าเป็นอย่างไร เผื่อจะได้มาปฏิบัติในคราวหน้า
ที่นี่จะอยู่ทางเดียวกับวัดห้วยปลากั้ง ถ้าไปไม่ถูกก็ถามหาวัดห้วยปลากั้งได้เลย แต่ที่นี่จะอยู่เลยเข้าไปอีกที่ซอยห้วยปลากั้ง 20 พอไปถึงหน้าปากซอยจะมีป้ายบอกให้เลี้ยวเข้าไป
ตอนเราเลี้ยวเข้าไปก็ขับไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆ เรียกได้ว่าหลงทาง เพราะเลยเข้าไปไม่รู้กี่กิโลเมตร และหาทางเข้าก็ไม่เจอ เลยตัดสินใจกลับกัน แต่พอตอนจะออกมาถึงปากซอยห้วยปลากั้ง 20 ก็บังเอิญเหลียวไปเจอตู้ไปรษณีย์สีเขียวหน้าปากซอยเล็กๆ อีกที ก็เลยยังได้มีโอกาสเข้าไปเจอสถานปฏิบัติธรรมอยู่
พอเข้าไปในซอยเล็กนั้น ถึงจะได้พบกับป้ายของสถานที่ที่เป็นป้ายไม้ใหญ่ แต่เข้าไปแล้วไม่เจอใครอยู่ก็เลยเดินชมรอบๆ แล้วก็กลับ
ที่นี่จะอยู่ทางเดียวกับวัดห้วยปลากั้ง ถ้าไปไม่ถูกก็ถามหาวัดห้วยปลากั้งได้เลย แต่ที่นี่จะอยู่เลยเข้าไปอีกที่ซอยห้วยปลากั้ง 20 พอไปถึงหน้าปากซอยจะมีป้ายบอกให้เลี้ยวเข้าไป
ตอนเราเลี้ยวเข้าไปก็ขับไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆ เรียกได้ว่าหลงทาง เพราะเลยเข้าไปไม่รู้กี่กิโลเมตร และหาทางเข้าก็ไม่เจอ เลยตัดสินใจกลับกัน แต่พอตอนจะออกมาถึงปากซอยห้วยปลากั้ง 20 ก็บังเอิญเหลียวไปเจอตู้ไปรษณีย์สีเขียวหน้าปากซอยเล็กๆ อีกที ก็เลยยังได้มีโอกาสเข้าไปเจอสถานปฏิบัติธรรมอยู่
พอเข้าไปในซอยเล็กนั้น ถึงจะได้พบกับป้ายของสถานที่ที่เป็นป้ายไม้ใหญ่ แต่เข้าไปแล้วไม่เจอใครอยู่ก็เลยเดินชมรอบๆ แล้วก็กลับ
วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556
พุทธอุทยานดอยอินทรีย์
วันหยุดสงกรานต์ได้มีโอกาสมาปฏิบัติธรรมที่พุทธอุทยานดอยอินทรีย์ ซึ่งก่อนหน้าที่จะมาปฏิบัติธรรมนี้เราก็ได้มาสำรวจสถานที่กันก่อนแล้ว เพราะได้ยินมาว่าทางขึ้นเขาชันมาก ถ้าขับรถไม่แข็งพอขึ้นไม่ได้แน่ๆ พอเราได้ยินแบบนั้นก็จินตนาการไปแสนกลว่าเราคงขึ้นไม่ได้แน่นอน แต่พอได้เดินทางมาดูด้วยตัวเองก็คิดว่ารถเกียร์ออโต้น่าจะขึ้นได้สบาย แล้วก็ขึ้นไปได้สบายจริงๆ ใช้เกียร์ต่ำขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อนก็ไปถึงจนได้ เค้าถึงบอกว่าสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นจริงๆ
ใครที่อยากมาเยี่ยมชมที่ พุทธอุทยานดอยอินทรีย์ ให้เริ่มเดินทางจากแยกเด่นห้า หากไม่รู้จักให้ถามคนในพื้นที่เอานะจ๊ะ :D พอเจอแยกเด่นห้าแล้วก็ให้ไปทางไร่แม่ฟ้าหลวง ผ่านหน้าไร่แม่ฟ้าหลวง แล้วตรงไปตามถนนหลักเรื่อยๆๆๆๆ ไปอีกหลายกิโลเมตรพอสมควร ระหว่างทางสังเกตุได้ง่ายๆ คือธงสีเขียวที่มีพุทธพจน์ติดอยู่ตามเสาไฟฟ้า ตามทางไปเรื่อยๆ เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปธงมาให้ดู จะได้ตามกันได้ง่ายขึ้น
ระหว่างทางที่ขึ้นไปบนวัดจะพบกับพระพุทธรูปปางต่างๆ ประดิษฐานอยู่ จนถึงบริเวณวัดเลย
ที่พักบนวัดมีจัดไว้ให้หลายหลัง มีห้องน้ำในตัวอาคาร ในเรื่องของการปฏิบัติจะมี 3 รอบ คือ รอบเช้าหลังทำวัตรเช้า รอบบ่าย และรอบเย็นหลังทำวัตรเย็น การทานอาหารมี 1 มื้อในช่วง 9.30 น. หลังจากที่พระฉันอาหารที่บิณฑบาตรแล้ว
ใครที่อยากมาเยี่ยมชมที่ พุทธอุทยานดอยอินทรีย์ ให้เริ่มเดินทางจากแยกเด่นห้า หากไม่รู้จักให้ถามคนในพื้นที่เอานะจ๊ะ :D พอเจอแยกเด่นห้าแล้วก็ให้ไปทางไร่แม่ฟ้าหลวง ผ่านหน้าไร่แม่ฟ้าหลวง แล้วตรงไปตามถนนหลักเรื่อยๆๆๆๆ ไปอีกหลายกิโลเมตรพอสมควร ระหว่างทางสังเกตุได้ง่ายๆ คือธงสีเขียวที่มีพุทธพจน์ติดอยู่ตามเสาไฟฟ้า ตามทางไปเรื่อยๆ เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปธงมาให้ดู จะได้ตามกันได้ง่ายขึ้น
ระหว่างทางที่ขึ้นไปบนวัดจะพบกับพระพุทธรูปปางต่างๆ ประดิษฐานอยู่ จนถึงบริเวณวัดเลย
ที่พักบนวัดมีจัดไว้ให้หลายหลัง มีห้องน้ำในตัวอาคาร ในเรื่องของการปฏิบัติจะมี 3 รอบ คือ รอบเช้าหลังทำวัตรเช้า รอบบ่าย และรอบเย็นหลังทำวัตรเย็น การทานอาหารมี 1 มื้อในช่วง 9.30 น. หลังจากที่พระฉันอาหารที่บิณฑบาตรแล้ว
วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2556
วัดพระแก้ว
วัดพระแก้วจะอยู่ตรงข้ามกับโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค ถ้ามาถึงเชียงรายแล้วอยากมาเที่ยววัดนี้สามารถจอดถามทางได้เลย เพราะไม่มีใครที่ไม่รู้จัก
ในวัดดูสะอาดเรียบร้อย กว้างขวาง
นอกจากนั้นยังมีพิพิธภัณฑ์อยู่ภายในวัดอีกด้วย
สำหรับวัดนี้ไม่ขอพูดอะไรมาก เอาเป็นว่าถ้ามาเที่ยวเชียงรายแล้วไม่ได้แวะสักการะพระแก้วมรกตที่วัดนี้ถือว่ามาไม่ถึงจังหวัดเชียงรายละกัน
ในวัดดูสะอาดเรียบร้อย กว้างขวาง
นอกจากนั้นยังมีพิพิธภัณฑ์อยู่ภายในวัดอีกด้วย
สำหรับวัดนี้ไม่ขอพูดอะไรมาก เอาเป็นว่าถ้ามาเที่ยวเชียงรายแล้วไม่ได้แวะสักการะพระแก้วมรกตที่วัดนี้ถือว่ามาไม่ถึงจังหวัดเชียงรายละกัน
วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2556
ถ้ำตุ๊ปู่
หลังจากเห็นข้อความที่บอกไว้ในเว็บไซต์ www.chiangraifocus.com ว่าตอนนี้ถ้ำตุ๊ปู่ต้องการความช่วยเหลือ เราก็เลยรวบรวมปัจจัยจากเพื่อนกัลยาณมิตรเพื่อนำไปถวายที่ถ้ำนี้
เราเริ่มเดินทางจากห้าแยกพ่อขุนมังราย ออกนอกเมืองไปทางอำเภอแม่สาย พอข้ามสะพานแม่น้ำกกก็เลี้ยวซ้ายตรง 4 แยกที่มีร้านของฝากอยู่ตรงหัวมุม เลี้ยวซ้ายแล้วตรงไปเรื่อยๆ จะผ่านตลาดบ้านใหม่ ไปเรื่อยๆ จนถึง 3 แยกด้านในก็เลี้ยวซ้าย ไปอีกไม่เกิน 1 กิโลเมตรจะเจอ 4 แยกบริเวณตลาดเล็ก ให้เลี้ยวขวา ซึ่งถ้ามาจากทางที่บอกนี้จะมองไม่เห็นป้ายบอกทางเข้าถ้ำ เพราะป้ายติดไว้บอกกับทางที่สวนมา
หลังจากเลี้ยวเข้ามาทางถ้ำแล้วก็เข้าไปอีกซัก 2 กิโลเมตร ถึงจะเจอถ้ำตุ๊ปู่ มีหลวงพ่อจำวัดอยู่รูปเดียว หลวงพ่อรูปนี้เป็นอัมพฤกษ์มาตั้งแต่ปี 2551 เพิ่งจะเริ่มมาฟื้นตัวเมื่อไม่กี่ปีมานี้ หลังจากที่เราถวายปัจจัยแล้วเราก็ขอหลวงพ่อเดินขึ้นไปชมบนถ้ำ ทางขึ้นถ้ำค่อนข้างชัน แต่ไม่สูงมากนัก ในถ้ำมีฝุ่นเยอะ เพราะหลวงพ่อไม่สามารถเดินขึ้นมาได้ จึงไม่มีใครมาดูแล บนภูเขามีต้นเอื้องผึ้งจันทร์ผา เจริญเติบโตดี
ถ้าใครที่ชอบท่องเที่ยววัด ที่นี่ก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งของเชียงรายที่น่ามาเก็บภาพ
เราเริ่มเดินทางจากห้าแยกพ่อขุนมังราย ออกนอกเมืองไปทางอำเภอแม่สาย พอข้ามสะพานแม่น้ำกกก็เลี้ยวซ้ายตรง 4 แยกที่มีร้านของฝากอยู่ตรงหัวมุม เลี้ยวซ้ายแล้วตรงไปเรื่อยๆ จะผ่านตลาดบ้านใหม่ ไปเรื่อยๆ จนถึง 3 แยกด้านในก็เลี้ยวซ้าย ไปอีกไม่เกิน 1 กิโลเมตรจะเจอ 4 แยกบริเวณตลาดเล็ก ให้เลี้ยวขวา ซึ่งถ้ามาจากทางที่บอกนี้จะมองไม่เห็นป้ายบอกทางเข้าถ้ำ เพราะป้ายติดไว้บอกกับทางที่สวนมา
หลังจากเลี้ยวเข้ามาทางถ้ำแล้วก็เข้าไปอีกซัก 2 กิโลเมตร ถึงจะเจอถ้ำตุ๊ปู่ มีหลวงพ่อจำวัดอยู่รูปเดียว หลวงพ่อรูปนี้เป็นอัมพฤกษ์มาตั้งแต่ปี 2551 เพิ่งจะเริ่มมาฟื้นตัวเมื่อไม่กี่ปีมานี้ หลังจากที่เราถวายปัจจัยแล้วเราก็ขอหลวงพ่อเดินขึ้นไปชมบนถ้ำ ทางขึ้นถ้ำค่อนข้างชัน แต่ไม่สูงมากนัก ในถ้ำมีฝุ่นเยอะ เพราะหลวงพ่อไม่สามารถเดินขึ้นมาได้ จึงไม่มีใครมาดูแล บนภูเขามีต้นเอื้องผึ้งจันทร์ผา เจริญเติบโตดี
ถ้าใครที่ชอบท่องเที่ยววัด ที่นี่ก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งของเชียงรายที่น่ามาเก็บภาพ
วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2556
โบราณสถานเวียงกือนา
เที่ยวคราวนี้ไปแบบสุ่มไป เราเลือกเส้นทางในจังหวัดเชียงรายเหมือนเดิม เริ่มออกเดินทางจากสี่แยกอีซูซุ เชียงราย แล้วมุ่งตรงไปทางอำเภอเวียงชัย ตรงไปเรื่อยๆ จนไปเจอเข้ากับป้ายบอกทางว่า "โบราณสถานเวียงกือนา" ด้วยความสนใจใคร่รู้ว่าเป็นอย่างไร เราก็มุ่งไปตามป้ายเลย
ไปถึงบริเวณโบราณสถาน เป็นบริเวณเปิดโล่ง ไม่ได้มีรั้วรอบขอบชิดมากมายเท่าใด เราขับรถเข้าไปในบริเวณ แล้วลงไปกราบนมัสการองค์พระที่ประดิษฐานอยู่หน้าต้นไทรขนาดใหญ่ ซึ่งถ้าตั้งใจมองไปยังต้นไทรก็จะพบพระพุทธรูปองค์ขนาดใหญ่ถูกต้นไทรโอบล้อมไว้จนแทบจะมองไม่เห็นพระพุทธรูปที่อยู่ด้านในเลย
โบราณสถานนี้เป็นสถานที่ติดแม่น้ำกก ซึ่งดูสวยงาม เย็นใจ มีลานกว้างปูกระเบื้องไว้ ถ้ามีการทำความสะอาดให้เรียบร้อย ก็เหมาะที่จะเป็นสถานที่สำหรับผู้คนที่ต้องการความสงบร่มเย็นได้อย่างดี
ไปถึงบริเวณโบราณสถาน เป็นบริเวณเปิดโล่ง ไม่ได้มีรั้วรอบขอบชิดมากมายเท่าใด เราขับรถเข้าไปในบริเวณ แล้วลงไปกราบนมัสการองค์พระที่ประดิษฐานอยู่หน้าต้นไทรขนาดใหญ่ ซึ่งถ้าตั้งใจมองไปยังต้นไทรก็จะพบพระพุทธรูปองค์ขนาดใหญ่ถูกต้นไทรโอบล้อมไว้จนแทบจะมองไม่เห็นพระพุทธรูปที่อยู่ด้านในเลย
โบราณสถานนี้เป็นสถานที่ติดแม่น้ำกก ซึ่งดูสวยงาม เย็นใจ มีลานกว้างปูกระเบื้องไว้ ถ้ามีการทำความสะอาดให้เรียบร้อย ก็เหมาะที่จะเป็นสถานที่สำหรับผู้คนที่ต้องการความสงบร่มเย็นได้อย่างดี
วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
พิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศ (Ganesh Museum)
ไหนๆ มาเที่ยวเชียงใหม่แล้ว และเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของพิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศมานานพอสมควร ก็เลยเกิดความอยากที่จะได้ไปเยี่ยมชมบ้างสักครั้งในชีวิต
การที่เราจะไปที่พิพิธภัณฑ์นี้เราต้องมีความเพียรอย่างยิ่ง ถ้าใครไม่ตั้งใจที่จะไปจริงๆ คงจะไม่สามารถที่จะเดินทางไปถึงได้ การเดินทางของเราเริ่มเดินทางจากเซ็นทรัลแอร์พอร์ตพลาซ่า มุ่งหน้าไปทางหางดง ขับรถไปประมาณ 25 กิโลเมตร แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะไปถูกมั้ย เพราะระหว่างทางจะมีป้ายบอกทางชัดเจนมาก พอถึงระยะทาง 25 กิโลเมตร ให้กลับรถ แล้วจะมีป้ายบอกให้เลี้ยวซ้ายเข้าไปอีกประมาณ 5 กิโลเมตร บริเวณด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์จะมีที่จอดรถให้ แต่สามารถเอาไปจอดด้านในได้เหมือนกัน เพียงแต่ด้านในมีที่จอดรถจำกัด พอไปถึงเราจะสัมผัสได้ถึงความสุขที่ได้มา เสียดายที่ไม่ได้เก็บภาพไว้ แต่ถ้าท่านสนใจข้อมูลเพิ่มเติม สามารถหารายละเอียดได้จากเว็บ http://www.ganeshmuseum.com ซึ่งเป็นเว็บของพิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศอย่างเป็นทางการ บริเวณภายในพิพิธภัณฑ์ไม่ได้กว้างมากมายนัก แต่สามารถใช้พื้นที่ทุกตารางนิ้วได้อย่างเกิดประโยชน์เต็มที่
ใครที่สักการะบูชาองค์พระพิฆเนศพลาดไม่ได้เลยที่จะไปที่พิพิธภัณฑ์นี้สักครั้งหนึ่งในชีวิต
การที่เราจะไปที่พิพิธภัณฑ์นี้เราต้องมีความเพียรอย่างยิ่ง ถ้าใครไม่ตั้งใจที่จะไปจริงๆ คงจะไม่สามารถที่จะเดินทางไปถึงได้ การเดินทางของเราเริ่มเดินทางจากเซ็นทรัลแอร์พอร์ตพลาซ่า มุ่งหน้าไปทางหางดง ขับรถไปประมาณ 25 กิโลเมตร แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะไปถูกมั้ย เพราะระหว่างทางจะมีป้ายบอกทางชัดเจนมาก พอถึงระยะทาง 25 กิโลเมตร ให้กลับรถ แล้วจะมีป้ายบอกให้เลี้ยวซ้ายเข้าไปอีกประมาณ 5 กิโลเมตร บริเวณด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์จะมีที่จอดรถให้ แต่สามารถเอาไปจอดด้านในได้เหมือนกัน เพียงแต่ด้านในมีที่จอดรถจำกัด พอไปถึงเราจะสัมผัสได้ถึงความสุขที่ได้มา เสียดายที่ไม่ได้เก็บภาพไว้ แต่ถ้าท่านสนใจข้อมูลเพิ่มเติม สามารถหารายละเอียดได้จากเว็บ http://www.ganeshmuseum.com ซึ่งเป็นเว็บของพิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศอย่างเป็นทางการ บริเวณภายในพิพิธภัณฑ์ไม่ได้กว้างมากมายนัก แต่สามารถใช้พื้นที่ทุกตารางนิ้วได้อย่างเกิดประโยชน์เต็มที่
ใครที่สักการะบูชาองค์พระพิฆเนศพลาดไม่ได้เลยที่จะไปที่พิพิธภัณฑ์นี้สักครั้งหนึ่งในชีวิต
วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
มูลนิธิไท่หลิน
วันนี้ได้มีโอกาสมาเยือนจังหวัดเชียงใหม่ หลังจากทำธุระเสร็จแล้วก็อดไม่ได้ที่จะแวะเที่ยวสถานที่ทางธรรมะกัน บังเอิญว่าระหว่างทางขับรถเพื่อไปทำธุระเราได้พบเห็นองค์พระแม่กวนอิมที่มีขนาดใหญ่มากกกกก เราก็เลยตั้งใจไปที่สถานที่นั้นกัน เราเริ่มเดินทางออกจากบิ๊กซีซุเปอร์เซ็นเตอร์ที่แยกดอนจั่น ขับรถออกจากบิ๊กซีเราก็เลี้ยวซ้ายไปทางลำพูน เลยสี่แยกดอนจั่นไปจะเจออีกสี่แยกที่เลี้ยวซ้ายไปสันกำแพง เลี้ยวขวาไปทางหางดง เราก็เลยชิดซ้ายเพื่อขึ้นสะพานเลี้ยวขวาไปทางหางดง ระหว่างที่อยู่บนสะพานเราก็สามารถมองเห็นองค์พระแม่กวนอิมได้เลย เราขับรถลงสะพานมาแล้วก็ขึ้นสะพานข้ามทางรถไฟอีกครั้งแล้วก็ไปกลับรถด้านหน้า ที่ที่เราจะไปนี้มีชื่อว่าสถานธรรมไท่หลิน อยู่ใกล้ๆ กับสะพานที่ข้ามทางรถไฟนั้นเลย
พอเราเดินเข้าไปเราจะได้เจอกับเจ้าหน้าที่ที่รอต้อนรับอยู่แล้ว ซึ่งถ้าเรามีคำถามอะไรทั้งเรื่องเกี่ยวกับว่าไหว้ยังไง ต้องทำอะไรบ้าง หรือจะสอบถามเกี่ยวกับประวัติที่มาที่ไป ท่านเหล่านั้นก็สามารถคลายข้อข้องใจให้เราได้ทั้งหมด
ในขั้นแรกเราก็ไหว้สักการะองค์พระแม่กวนอิมก่อน เป็นองค์พระแม่กวนอิมที่ใหญ่มากสูงประมาณตึก 3 ชั้นได้ ในบริเวณขององค์พระแม่กวนอิมก็จะมีองค์เทพองค์อื่นให้สักการะพร้อมกัน หลังจากที่สักการะบริเวณองค์แม่กวนอิมเสร็จแล้ว เราก็สามารถเดินขึ้นไปบนอาคารเพื่อกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้านบนได้อีก
ในสถานธรรมนี้ยังมีห้องที่เราสามารถบูชาสิงศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำไปไหว้ที่บ้านได้อีก ก่อนกลับเราก็แวะทานอาหารเจที่จัดให้บริการในบริเวณสถานธรรมเลย รสชาติดี ที่สำคัญราคาไม่แพง
พอเราเดินเข้าไปเราจะได้เจอกับเจ้าหน้าที่ที่รอต้อนรับอยู่แล้ว ซึ่งถ้าเรามีคำถามอะไรทั้งเรื่องเกี่ยวกับว่าไหว้ยังไง ต้องทำอะไรบ้าง หรือจะสอบถามเกี่ยวกับประวัติที่มาที่ไป ท่านเหล่านั้นก็สามารถคลายข้อข้องใจให้เราได้ทั้งหมด
ในขั้นแรกเราก็ไหว้สักการะองค์พระแม่กวนอิมก่อน เป็นองค์พระแม่กวนอิมที่ใหญ่มากสูงประมาณตึก 3 ชั้นได้ ในบริเวณขององค์พระแม่กวนอิมก็จะมีองค์เทพองค์อื่นให้สักการะพร้อมกัน หลังจากที่สักการะบริเวณองค์แม่กวนอิมเสร็จแล้ว เราก็สามารถเดินขึ้นไปบนอาคารเพื่อกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้านบนได้อีก
ในสถานธรรมนี้ยังมีห้องที่เราสามารถบูชาสิงศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำไปไหว้ที่บ้านได้อีก ก่อนกลับเราก็แวะทานอาหารเจที่จัดให้บริการในบริเวณสถานธรรมเลย รสชาติดี ที่สำคัญราคาไม่แพง
วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
อาศรมร่มไทร (Ar Som Rom Sai)
ได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมที่สำนักปฏิบัติธรรมอาศรมร่มไทร เป็นเวลา 3 วัน เป็นการปฏิบัติธรรมที่เราเต็มใจอยากที่จะทำ เพื่อให้จิตใจเกิดความสงบ และเพื่อเป็นการสั่งสมบุญสร้างบารมี ตามหน้าที่ที่มนุษย์คนนึงพึงจะกระทำได้ เลยตัดสินใจทิ้งงานทางโลกสัก 3 วัน :D
ก่อนที่จะไปถึงก็มีการจินตนาการไว้ในหัวว่าสถานที่ที่เราจะไปนั้นคงจะเป็นลานดิน มีอาคารสำหรับปฏิบัติธรรม และมีห้องนอนรวมสำหรับผู้ที่มาปฏิบัติ แต่พอเดินทางไปถึงมันกลายเป็นคนละเรื่องกับที่คิดไว้เลย เริ่มจากถนนหนทางที่ปูซีเมนต์ดูเรียบร้อยสะอาดตา เป็นสถานที่ที่มีการทำความสะอาดไว้อย่างดี มีอาคารห้องสมุด อาคารห้องครัว อาคารที่พักแบ่งเป็นสัดเป็นส่วน
พอเดินทางไปถึงแม่ชีบัวเงินก็ให้เราเอาของไปเก็บในที่พักก่อน อาคารนี้เป็นอาคาร 2 ชั้น ชั้นล่างจัดเป็นลานสำหรับทำกิจกรรมต่างๆ ได้ ชั้นบนเป็นห้องพักที่ทำไว้อย่างดี มีห้องอยู่ 6 ห้องมีห้องน้ำในตัว และด้านหลังจะมีลานซักล้างรวมให้สำหรับผู้ที่ต้องการซัก-ตากเสื้อผ้า เป็นที่พักที่สะดวกสบายมาก หลังจากเอาของเก็บ และเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดขาวแล้วก็ลงไปพบแม่ชีที่อาคารห้องสมุด เพื่อขอบวชและถือศีล 8
การปฏิบัติธรรมจะทำที่ศาลา ซึ่งในศาลานี้ปูด้วยไม้ ดูสะอาดเรียบร้อย แม่ชีให้เราเริ่มจากการเดินจงกรม แล้วหลังจากนั้นก็นั่งสมาธิ หลังจากเสร็จจากการปฏิบัติ ก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัย ช่วงที่ไปนั้นอากาศเย็นเราก็เลยอาบน้ำกันเร็วหน่อย และเนื่องจากที่นี่มีห้องสมุด เราเลยหาหนังสือมาอ่านระหว่างเวลาว่าง
หลังจากเสร็จจากการปฏิบัติช่วงเช้าของแต่ละวัน ท้องก็เริ่มร้องหาอาหาร ซึ่งที่นี่ก็มีห้องครัวไว้ให้เรียบร้อย ตอนที่เรามานี้ได้เตรียมข้าวสาร ไข่ไก่ และปลาแห้งมาด้วย โดยที่วัดนี้จะมีผักไว้ในตู้เย็นให้ เราสามารถทำกับข้าวเองได้เลย แต่ทำเสร็จแล้วต้องทำความสะอาดให้เรียบร้อย ตอนเช้าเราหาอะไรทานเบาๆ พอตอน 10 โมงเราจะเข้าครัวอีกครั้งเพื่อเตรียมอาหารกลางวัน ตอนกลางวันแม่ชีจะมาฉันอาหารพร้อมกัน สำหรับช่วงบ่ายหรือเย็นถ้าใครหิวก็สามารถเตรียมนมกล่องมาด้วยได้ เนื่องจากเราถือศีล 8 จึงไม่สามารถทานอาหารหลังจากเที่ยงวันได้
ในแต่ละวันจะมีการปฏิบัติ แบ่งเป็นเวลาคร่าวๆ คือ
4.00 น. - 7.00 น. สวดมนต์ ทำวัตรเช้า เดินจงกรม นั่งสมาธิ
14.00 น. - 16.00 น. เดินจงกรม นั่งสมาธิ
18.00 น. - 21.00 น. สวดมนต์ ทำวัตรเย็น เดินจงกรม นั่งสมาธิ
ในช่วงเวลาพัก เราก็จะหาอะไรทำกัน เช่น เก็บกวาดลานถนน กวาดถูห้องครัว อาคารที่พัก ปลูกต้นไม้บ้างนิดหน่อย
หลังจากครบ 3 วันแล้วรู้สึกว่าทำไมเวลามันสั้นจริง ถ้ามีโอกาสครั้งหน้ามาจะขออยู่ 7 วันน่าจะได้อะไรมากกว่านี้ หลังจากปฏิบัติครบ 3 วันแล้วรู้สึกได้เลยว่าจิตใจสงบมากขึ้น เมื่อจิตใจสงบเราก็จะมีสติ และเมื่อมีสติเราก็จะมีสตางค์ตามมา 5555 เพราะฉะนั้นถ้าใครอยากมีสตางค์ก็ควรจะมีสติกันนะจ้า
ก่อนที่จะไปถึงก็มีการจินตนาการไว้ในหัวว่าสถานที่ที่เราจะไปนั้นคงจะเป็นลานดิน มีอาคารสำหรับปฏิบัติธรรม และมีห้องนอนรวมสำหรับผู้ที่มาปฏิบัติ แต่พอเดินทางไปถึงมันกลายเป็นคนละเรื่องกับที่คิดไว้เลย เริ่มจากถนนหนทางที่ปูซีเมนต์ดูเรียบร้อยสะอาดตา เป็นสถานที่ที่มีการทำความสะอาดไว้อย่างดี มีอาคารห้องสมุด อาคารห้องครัว อาคารที่พักแบ่งเป็นสัดเป็นส่วน
พอเดินทางไปถึงแม่ชีบัวเงินก็ให้เราเอาของไปเก็บในที่พักก่อน อาคารนี้เป็นอาคาร 2 ชั้น ชั้นล่างจัดเป็นลานสำหรับทำกิจกรรมต่างๆ ได้ ชั้นบนเป็นห้องพักที่ทำไว้อย่างดี มีห้องอยู่ 6 ห้องมีห้องน้ำในตัว และด้านหลังจะมีลานซักล้างรวมให้สำหรับผู้ที่ต้องการซัก-ตากเสื้อผ้า เป็นที่พักที่สะดวกสบายมาก หลังจากเอาของเก็บ และเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดขาวแล้วก็ลงไปพบแม่ชีที่อาคารห้องสมุด เพื่อขอบวชและถือศีล 8
อาคารที่พัก
การปฏิบัติธรรมจะทำที่ศาลา ซึ่งในศาลานี้ปูด้วยไม้ ดูสะอาดเรียบร้อย แม่ชีให้เราเริ่มจากการเดินจงกรม แล้วหลังจากนั้นก็นั่งสมาธิ หลังจากเสร็จจากการปฏิบัติ ก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัย ช่วงที่ไปนั้นอากาศเย็นเราก็เลยอาบน้ำกันเร็วหน่อย และเนื่องจากที่นี่มีห้องสมุด เราเลยหาหนังสือมาอ่านระหว่างเวลาว่าง
หลังจากเสร็จจากการปฏิบัติช่วงเช้าของแต่ละวัน ท้องก็เริ่มร้องหาอาหาร ซึ่งที่นี่ก็มีห้องครัวไว้ให้เรียบร้อย ตอนที่เรามานี้ได้เตรียมข้าวสาร ไข่ไก่ และปลาแห้งมาด้วย โดยที่วัดนี้จะมีผักไว้ในตู้เย็นให้ เราสามารถทำกับข้าวเองได้เลย แต่ทำเสร็จแล้วต้องทำความสะอาดให้เรียบร้อย ตอนเช้าเราหาอะไรทานเบาๆ พอตอน 10 โมงเราจะเข้าครัวอีกครั้งเพื่อเตรียมอาหารกลางวัน ตอนกลางวันแม่ชีจะมาฉันอาหารพร้อมกัน สำหรับช่วงบ่ายหรือเย็นถ้าใครหิวก็สามารถเตรียมนมกล่องมาด้วยได้ เนื่องจากเราถือศีล 8 จึงไม่สามารถทานอาหารหลังจากเที่ยงวันได้
ในแต่ละวันจะมีการปฏิบัติ แบ่งเป็นเวลาคร่าวๆ คือ
4.00 น. - 7.00 น. สวดมนต์ ทำวัตรเช้า เดินจงกรม นั่งสมาธิ
14.00 น. - 16.00 น. เดินจงกรม นั่งสมาธิ
18.00 น. - 21.00 น. สวดมนต์ ทำวัตรเย็น เดินจงกรม นั่งสมาธิ
ในช่วงเวลาพัก เราก็จะหาอะไรทำกัน เช่น เก็บกวาดลานถนน กวาดถูห้องครัว อาคารที่พัก ปลูกต้นไม้บ้างนิดหน่อย
หลังจากครบ 3 วันแล้วรู้สึกว่าทำไมเวลามันสั้นจริง ถ้ามีโอกาสครั้งหน้ามาจะขออยู่ 7 วันน่าจะได้อะไรมากกว่านี้ หลังจากปฏิบัติครบ 3 วันแล้วรู้สึกได้เลยว่าจิตใจสงบมากขึ้น เมื่อจิตใจสงบเราก็จะมีสติ และเมื่อมีสติเราก็จะมีสตางค์ตามมา 5555 เพราะฉะนั้นถ้าใครอยากมีสตางค์ก็ควรจะมีสติกันนะจ้า
วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556
วัดหมื่นพุทธเมตตาคุณาราม (Wat Muen Bhuda Metta Ku Na Ram)
ว้าวๆๆๆ วันนี้ได้ออกทัวร์เที่ยววัดกันอีกแล้ว ช่างมีความสุขจริงๆ เล้ยยยย ไปกันไกลเลยทีเดียวเชียว วัดที่ว่านี้อยู่ห่างจากอำเภอเมืองเชียงรายไปประมาณ 40-50 กิโลเมตรเลยนะ แต่ด้วยความที่เห็นจากเว็บไซต์ต่างๆ แล้วน่าสนใจอยากไปบ้าง บวกกับผู้เขียนได้เคยผ่านไปทางเส้นทางนั้นเมื่ออดีตนานมาแล้ว ตอนที่ขับรถผ่านก็ไม่ได้สังเกตอะไร ตอนนั้นแค่สงสัยว่าที่นี่คืออะไร ทำไมบริเวณมันกว้างมากๆๆๆ แล้วก็ขับเลยผ่านไป แล้วตอนนี้พอรู้ว่าสถานที่นั้นคือวัดหมื่นฯ นี้เองก็เลยตัดสินใจไปกันเลย
เริ่มเดินทางจากห้าแยกพ่อขุนมังราย ขับรถไปทางอำเภอแม่สาย เลยสี่แยกหน้ามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายไปจะเจอสามแยกบ้านเด่น ให้เลี้ยวขวา เลี้ยวขวาไปซักพักจะเจอโรงเรียนเม็งรายแสดงว่ามาถูกทาง แต่ไม่ต้องเลี้ยวเข้าไปในโรงเรียนนะ ให้ขับผ่านไป ผ่านไป ผ่านไป ไปไกลประมาณ 30-40 กิโลเมตรได้ ไปเรื่อยๆๆๆ ไม่ต้องเลี้ยวอะไรทั้งสิ้น ไปเรื่อยๆๆๆ จนสุดทางจะไปเจอสามแยกก็เลี้ยวซ้ายเพื่อไปแม่จัน พอเลี้ยวซ้ายได้แป๊ปเดียวก็จะเจอวัดหมื่นฯ เลย
ตอนแรกเจอก็ตื่นเต้น เพราะนึกว่าจะหลงทางกันซะแล้ว 5555 พอมาถึงก็รู้สึกอลังการงานสร้างกับพระพุทธรูปสังกัจจายน์ที่ประดิษฐานอยู่บนยอดของอาคาร แต่ก่อนที่จะเดินขึ้นไปสักการะท่าน เราก็ได้แวะไปกราบพระพุทธรูปที่อาคารด้านขวามือก่อน พอเข้าไปในอาคารก็ได้เจอกับพระแม่กวนอิมปางพันกร ซึ่งมีขนาดความสูงประมาณ 1.6 เมตร เดินลึกเข้าไปในตัวอาคารก็จะได้พบกับองค์กวนอูซึ่งมีขนาดใหญ่มาก สูงประมาณ 2 เมตรได้ แต่ไม่สามารถเก็บภาพได้เนื่องจากกล้องถ่ายรูปขัดข้องนิดหน่อย
หลังจากที่กราบไหว้พระพุทธรูป องค์กวนอู และพระแม่กวนอิมเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาที่จะเดินขึ้นไปบนอาคารเพื่อไปสักการะองค์พระสังกัจจายน์ที่ประดิษฐานอยู่บนยอดอาคาร ระหว่างที่เราไปนั้นมีคนงานกำลังปรับปรุงบริเวณอาคารอยู่ ทั้งภายในและภายนอก เราเลยยังไม่ได้เห็นความสวยงามแบบเต็มรูปแบบเท่าไหร่ ถ้าเสร็จหมดแล้วน่าจะเป็นสถานที่ที่สวยงามมากสถานที่หนึ่ง หลังจากสักการะเสร็จแล้วก็ได้เวลาเดินทางกลับ กว่าจะกลับมาถึงที่หมายก็เล่นเอาซะเพลียเลยทีเดียว
เขียนโดย มัชฌิมา
เริ่มเดินทางจากห้าแยกพ่อขุนมังราย ขับรถไปทางอำเภอแม่สาย เลยสี่แยกหน้ามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายไปจะเจอสามแยกบ้านเด่น ให้เลี้ยวขวา เลี้ยวขวาไปซักพักจะเจอโรงเรียนเม็งรายแสดงว่ามาถูกทาง แต่ไม่ต้องเลี้ยวเข้าไปในโรงเรียนนะ ให้ขับผ่านไป ผ่านไป ผ่านไป ไปไกลประมาณ 30-40 กิโลเมตรได้ ไปเรื่อยๆๆๆ ไม่ต้องเลี้ยวอะไรทั้งสิ้น ไปเรื่อยๆๆๆ จนสุดทางจะไปเจอสามแยกก็เลี้ยวซ้ายเพื่อไปแม่จัน พอเลี้ยวซ้ายได้แป๊ปเดียวก็จะเจอวัดหมื่นฯ เลย
ตอนแรกเจอก็ตื่นเต้น เพราะนึกว่าจะหลงทางกันซะแล้ว 5555 พอมาถึงก็รู้สึกอลังการงานสร้างกับพระพุทธรูปสังกัจจายน์ที่ประดิษฐานอยู่บนยอดของอาคาร แต่ก่อนที่จะเดินขึ้นไปสักการะท่าน เราก็ได้แวะไปกราบพระพุทธรูปที่อาคารด้านขวามือก่อน พอเข้าไปในอาคารก็ได้เจอกับพระแม่กวนอิมปางพันกร ซึ่งมีขนาดความสูงประมาณ 1.6 เมตร เดินลึกเข้าไปในตัวอาคารก็จะได้พบกับองค์กวนอูซึ่งมีขนาดใหญ่มาก สูงประมาณ 2 เมตรได้ แต่ไม่สามารถเก็บภาพได้เนื่องจากกล้องถ่ายรูปขัดข้องนิดหน่อย
หลังจากที่กราบไหว้พระพุทธรูป องค์กวนอู และพระแม่กวนอิมเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาที่จะเดินขึ้นไปบนอาคารเพื่อไปสักการะองค์พระสังกัจจายน์ที่ประดิษฐานอยู่บนยอดอาคาร ระหว่างที่เราไปนั้นมีคนงานกำลังปรับปรุงบริเวณอาคารอยู่ ทั้งภายในและภายนอก เราเลยยังไม่ได้เห็นความสวยงามแบบเต็มรูปแบบเท่าไหร่ ถ้าเสร็จหมดแล้วน่าจะเป็นสถานที่ที่สวยงามมากสถานที่หนึ่ง หลังจากสักการะเสร็จแล้วก็ได้เวลาเดินทางกลับ กว่าจะกลับมาถึงที่หมายก็เล่นเอาซะเพลียเลยทีเดียว
เขียนโดย มัชฌิมา
วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556
วัดพระธาตุศรีจอมจันทร์ (Wat Pra Tart Sri Jom Jan)
ห่างหายกันไปพอสมควร แต่ก็ยังกลับมาเจอกันอีก รับรองว่าไม่หายไปไหนแน่นอน วันนี้เลยพาออกไปนอกตัวเมืองนิดหน่อย ประมาณ 20 กิโลเมตร เริ่มต้นเดินทางจากสี่แยกเด่นห้า บอกแบบนี้บางท่านอาจจะยังไม่รู้จัก ถ้าจะให้ง่ายก็เดินทางจากในตัวเมืองมุ่งหน้าไปยังไร่บุญรอด (แบบนี้ดีกว่ามั้ยนะ) เลยไร่บุญรอดไปอีกซักไม่นานจะเจอสามแยกมีป้ายบอกวัดสวนดอกเป็นวัดที่พี่ชายเคยบวชเมื่อหลายปีก่อนเลยอยากมารำรึกความหลัง แต่เผอิญว่าอุโบสถปิดเลยไม่ได้เข้าไป บังเอิญเหลือบไปเห็นป้ายบอกทางเข้าวัดพระธาตุศรีจอมจันทร์ นึกได้อีกว่าพี่ชายเคยไปจำวัดที่นี่ เลยลุยกันเข้าไป เข้าไปลึกพอสมควร พอเข้าไปในบริเวณวัดรู้สึกได้ถึงความสงบ เงียบ ภาพที่เห็นต่างจากเมื่ออดีตเยอะมาก จากเดิมที่เคยมีแต่พระธาตุกับอาคารชั่วคราว แต่ปัจจุบันมีอาคารเพิ่มมากขึ้น
มีแค่สิ่งเดียวที่ยังคงอยู่เหมือนเดิมนั่นคือความสงบเงียบ ทำให้เราได้อยู่กับตัวเอง รู้สึกมีความสุขจากภายใน เดินชมจนรอบแล้วก็ได้เวลาที่จะต้องกลับออกไปเจอกับโลกทั่วไป หลังจากนั้นคงจะได้มาเติมพลังที่วัดอีกครั้ง เมื่อถึงตอนนั้นเราก็จะได้เจอกันอีกครั้ง
เขียนโดย มัชฌิมา
มีแค่สิ่งเดียวที่ยังคงอยู่เหมือนเดิมนั่นคือความสงบเงียบ ทำให้เราได้อยู่กับตัวเอง รู้สึกมีความสุขจากภายใน เดินชมจนรอบแล้วก็ได้เวลาที่จะต้องกลับออกไปเจอกับโลกทั่วไป หลังจากนั้นคงจะได้มาเติมพลังที่วัดอีกครั้ง เมื่อถึงตอนนั้นเราก็จะได้เจอกันอีกครั้ง
เขียนโดย มัชฌิมา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)